รีวิวหนัง Assassin's Creed (2016)

เรื่องย่อAssassin’s Creed (2016) บอกเล่าเรื่องราวของ คัลลัม ลินช์ (รับบทโดย ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) ชายผู้ซึ่งค้นพบว่าตัวเองเป็นทายาทของกลุ่มนักฆ่าโบราณที่รู้จักกันในนาม “ภราดรนักฆ่า” (Assassin’s Brotherhood) หลังจากถูกองค์กรลึกลับที่เรียกว่า แอบสเตอร์โก จับตัวไป คัลลัมถูกนำเข้าระบบเครื่อง อนิมัส (Animus) ซึ่งช่วยให้เขาสามารถย้อนกลับไปยังอดีตและสัมผัสความทรงจำของบรรพบุรุษของเขา อากีล่าร์ เดอ เนร่า นักฆ่าที่มีชีวิตอยู่ในสเปนช่วงศตวรรษที่ 15
ตลอดทั้งเรื่อง คัลลัมต้องเผชิญกับการตัดสินใจระหว่างการยอมรับมรดกของนักฆ่า หรือเข้าร่วมกับองค์กรแอบสเตอร์โกที่ต้องการใช้เทคโนโลยีเพื่อเป้าหมายอันลึกลับ ในขณะเดียวกัน องค์กรเทมพลาร์ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของภราดรนักฆ่าก็กำลังวางแผนจะควบคุมมนุษยชาติผ่าน แอปเปิ้ลแห่งอีเดน (Apple of Eden) สิ่งประดิษฐ์ในตำนานที่สามารถควบคุมเจตจำนงเสรีของมนุษย์ได้
จุดเด่นของหนัง
1. งานสร้างและฉากแอ็กชันที่ยอดเยี่ยม
หนึ่งในจุดแข็งของ Assassin’s Creed คือการออกแบบฉากแอ็กชันและองค์ประกอบทางศิลปะที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทีมผู้สร้างสามารถถ่ายทอดบรรยากาศของสเปนในยุคศตวรรษที่ 15 ออกมาได้อย่างสมจริง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเครื่องแต่งกาย ฉากเมืองโบราณ ไปจนถึงเทคนิคการต่อสู้แบบ “ฟรีรันนิ่ง” อันเป็นเอกลักษณ์ของเกม
2. การแสดงของไมเคิล ฟาสเบนเดอร์
ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ในบทคัลลัม ลินช์ และอากีล่าร์ เดอ เนร่า ถือว่าเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญของหนัง ด้วยการแสดงที่เข้มข้นและมีมิติ เขาสามารถทำให้ผู้ชมเชื่อในความขัดแย้งภายในของตัวละครได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้นักแสดงสมทบอย่าง มาริยง โกติยาร์ และ เจเรมี ไอรอนส์ ก็สามารถเติมเต็มเนื้อเรื่องให้ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น
3. แนวคิดเชิงปรัชญาและประวัติศาสตร์
หนังมีการสอดแทรกแนวคิดเกี่ยวกับเสรีภาพและการควบคุมอำนาจในเชิงปรัชญาอย่างน่าสนใจ เช่นเดียวกับต้นฉบับเกมที่เน้นการต่อสู้ระหว่าง ภราดรนักฆ่า และ เทมพลาร์ ซึ่งเป็นตัวแทนของอุดมการณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การนำเสนอแนวคิดนี้ช่วยเพิ่มมิติให้กับเนื้อเรื่อง
จุดด้อยของหนัง
1. บทภาพยนตร์ที่ซับซ้อนเกินไป
แม้ว่าภาพยนตร์จะพยายามถ่ายทอดความซับซ้อนของเกม แต่โครงเรื่องกลับดูยากต่อการเข้าถึงสำหรับผู้ชมทั่วไปที่ไม่เคยเล่นเกมมาก่อน บางจุดของหนังอาจดูสับสนและยากต่อการติดตาม โดยเฉพาะการอธิบายเกี่ยวกับองค์กรเทมพลาร์และภราดรนักฆ่า ซึ่งอาจทำให้ผู้ชมใหม่รู้สึกเบื่อหน่าย
2. การดำเนินเรื่องที่ไม่สมดุล
หนังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับฉากในยุคปัจจุบันมากกว่าการย้อนกลับไปในอดีต ซึ่งทำให้แฟนเกมบางส่วนรู้สึกผิดหวัง เนื่องจากองค์ประกอบที่น่าดึงดูดที่สุดของซีรีส์คือช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและการผจญภัย หนังกลับให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องในยุคปัจจุบันที่ดูไม่ค่อยน่าสนใจเท่าที่ควร
3. การขาดการพัฒนาตัวละคร
แม้ว่าไมเคิล ฟาสเบนเดอร์จะสามารถดึงอารมณ์ของตัวละครออกมาได้ดี แต่บทของตัวละครรองกลับไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ตัวละครบางตัวถูกใช้เพียงเพื่อสนับสนุนเนื้อเรื่องโดยไม่มีบทบาทที่ชัดเจน ทำให้ความลึกของเรื่องราวลดลงไปพอสมควร
บทสรุป
Assassin’s Creed (2016) เป็นภาพยนตร์ที่มีความทะเยอทะยานในการดัดแปลงจากวิดีโอเกมสู่จอเงิน โดยมีงานสร้างและฉากแอ็กชันที่ยอดเยี่ยม รวมถึงการแสดงที่แข็งแกร่งจากทีมนักแสดง อย่างไรก็ตาม ตัวบทภาพยนตร์ยังคงมีปัญหาในเรื่องของความสมดุลและการเล่าเรื่องที่อาจทำให้ผู้ชมบางส่วนรู้สึกสับสน
สำหรับแฟนเกมที่ต้องการเห็นองค์ประกอบที่คุ้นเคยจากเกมบนจอภาพยนตร์ อาจจะรู้สึกถึงความขาดหายของบางอย่าง แต่ในแง่ของผู้ชมที่ไม่เคยสัมผัสกับแฟรนไชส์มาก่อน นี่อาจเป็นภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยที่น่าติดตาม
คะแนน: 7/10 สำหรับฉากแอ็กชันและการแสดง แต่ลดคะแนนจากบทภาพยนตร์ที่อาจต้องการความลึกซึ้งและการพัฒนาตัวละครที่มากกว่านี้